เรทโทสเปควงร็อคสุดมันในบ้านเรา
ถ้าหากพูดถึงศิลปินวงร็อคในบ้านเราต้องบอกว่ามีมากมายตั้งแต่ยุคอดีตจนถึงปัจจุบัน โดยในแต่ละช่วงเวลาก็จะมีวงร็อคหน้าใหม่เกิดขึ้นอยู่ตลอด ซึ่งคำว่าวงร็อคที่แท้จริงนั้นหากมองให้ลึกลงไปมันก็จะถูกแยกประเภทของดนตรีร็อคให้ต่างกันออกไปอีก แต่ในความหมายโดยรวมของวงร็อคก็คือการรังสรรค์ดนตรีให้ออกมาในแนวทางที่เน้นจังหวะสนุก พร้อมด้วยเครื่องดนตรีที่หนักแน่น เสียงร้องที่ทรงพลัง และ 1 ในวงร็อคสุดมันที่ได้รับความนิยมในบ้านเราก็คือ เรทโทสเปค
วงเรทโทสเปค (Retrospect) มีจุดเริ่มต้นเมื่อปี พ.ศ. 2544 ที่สมาชิกในวงได้เริ่มทำความรู้จักกันและมีความรู้สึกชื่นชอบในแนวเพลงเฮฟวี่เมทัลเหมือนๆ กัน และพวกเขาก็ได้เริ่มที่จะทำเพลงอย่างจริงจังในแนวที่เรียกว่า อินดัสเทรียลเมทัล ซึ่งสมาชิกในยุคแรกเริ่มจึงประกอบไปด้วย แน็ป (ร้องนำ, กลอง), บิ๊ก (กีต้าร์), บอม (เบส) และ น็อต (กีต้าร์) ซึ่งชื่อวงของพวกเขาก็ได้ตั้งมาเริ่มแรกเลยว่า เรทโทสเปค ที่แปลว่า การรำลึกถึงอดีต, การหวนเพื่อระลึกถึง แม้ว่าช่วงนั้นเพลงป็อปทั่วไปจะเป็นแนวเพลงที่ครองตลาดแต่พวกเขาก็ต้องการที่จะสร้างกระแสที่ต่างออกไป ในปี พ.ศ. 2546 พวกเขาได้ออกอัลบั้ม EP จากการแนะนำของ ต้น Dezember ซึ่งในปลายปีเดียวกันนั้นเองพวกเขาได้มีโอกาสเข้าร่วมคอนเสิร์ตชื่อดังวัยเด็กแนวสำหรับวงหน้าใหม่อย่าง Fat Fest ครั้งที่ 3 จนเริ่มเป็นที่รู้จักกับแฟนเพลงแนวเมทัลและแนวร็อค จนกระทั่งเริ่มมีค่ายใหญ่ๆ สนใจให้ไปเซ็นสัญญาแต่มีข้อแม้ว่าต้องลดความดุดันของเพลงลง แต่ในทีแรกพวกเขาคิดว่ามันเป็นการเสียสิ่งที่เป็นความต้องการไป จนกระทั่งมี เต๋า Sweet Mullet ได้แนะนำให้รู้จักกับโปรดิวเซอร์ของ จีนี่ เร็คคอร์ด ประกอบกับทางค่ายต้องการสร้างแนวเพลงใหม่ๆ ขึ้นมาจึงได้มีการนำเดโม่มาเสนอและกลายเป็นศิลปินในที่สุด จนกระทั่งมีเพลง “ไม่มีเธอ” ออกมาในอัลบั้มรวมอย่าง Showroom vol. 1 ทำให้ชื่อของพวกเขาขึ้นมาเป็นวงที่น่าจับตามองในทันทีจนเกิดกระแสแฟนคลับที่เรียกตัวเองว่า เรโทรเลี่ยน
พวกเขาออกอัลบั้มครั้งแรกในปี พ.ศ. 2550 ชื่อว่า Unleashed ก่อนจะออกมาอีก 2 อัลบั้ม อย่าง Rise ในปี พ.ศ. 2551 และ The Lost Souls ในปี พ.ศ. 2553 ซึ่งสมาชิกในปัจจุบันประกอบไปด้วย แน็ป (ร้องนำ), น็อต (กีต้าร์), บอม (เบส) และ เบิร์ท (กลอง) ซึ่งแม้ว่าในปัจจันดนตรีแนวร็อคหรือแนวเมทัลอาจจะไม่ค่อยได้รับความนิยมเหมือนในยุคสมัยหนึ่งแต่ว่าเมื่อพวกเขาได้มีคอนเสิร์ตเมื่อไหร่ก็ยังมีความสนุกที่พร้อมจะมอบให้กับแฟนเพลงอยู่เสมอและแฟนเพลงก็ยังคงมันไปกับพวกเขาได้ทุกครั้ง
กว่าจะมาเป็น Bodyslam ไม่ใช่เรื่องง่าย
หากมีคำถามถามว่า วงดนตรีในปัจจุบันของประเทศไทยวงไหนที่ประสบความสำเร็จและเป็นที่รู้จักของแฟนเพลงและคนทั่วไปมากที่สุด ชื่อของ Bodyslam คงจะต้องถูกผุดขึ้นมาอยู่ในความคิดของทุกๆ คนอย่างแน่นอน เพราะว่าพวกเขาจัดเป็นวงดนตรีที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ของประเทศไทย และที่สำคัญภาพลักษณ์ของพวกเขายังเป็นภาพลักษณ์ที่หลายๆ คนให้การยกย่องอีกด้วย อย่างไรก็ตามกว่าที่จะก้าวผ่านมาเป็น Bodyslam เหมือนในปัจจุบันได้นั้นพวกเขาก็ต้องผ่านเรื่องราวต่างๆ มากมายชนิดที่ว่าหากใครรู้แล้วต้องคารวะในฝีมือของพวกเขาจริงๆ
จุดเริ่มต้นของวง Bodyslam จริงๆ แล้วมาจากวง ละอ่อน ที่ในปี พ.ศ. 2539 พวกเขาคือวงดนตรีที่ชนะเลิศในการแข่งขันประกวดวงดนตรี Hot Wave Music Award พร้อมกับได้ออกอัลบั้มภายใต้สังกัดมิวสิค บั๊กส์ ในปี พ.ศ. 2540 ด้วยแนวเพลงสไตล์ป็อปร็อก ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปตามทางของตัวเองโดย ตูน (ร้องน้ำ), ปิ๊ด (เบส), และ เภา (กีต้าร์) ที่อยู่ในสมาชิกวงละอ่อนยังคงต้องการที่จะทำวงดนตรีของตัวเองจึงได้รวมตัวกันใหม่และกลับมาเปิดตัวอีกครั้งในปี พ.ศ. 2545 ภายใต้ชื่อ Bodyslam พร้อมทั้งเปลี่ยนแนวดนตรีให้หนักหน่วงมากยิ่งขึ้น โดยที่มาของวงนี้จริงๆ มาจากชื่อท่ามวยปล้ำที่พวกเขาชื่นชอบที่มีความหมายว่าทุ่มสุดตัว และถือว่าแจ้งเกิดได้สำเร็จกับอัลบั้มที่ชื่อเดียวกับวง คือ Bodyslam พร้อมเพลงฮิตมากมาย อาทิ ย้ำ, สักวันฉันจะดีพอ, งมงาย, Bodyslam ต่อมาในปี พ.ศ. 2546 พวกเขาก็ได้ออกอัลบั้มที่ 2 ชื่อว่า Drive ที่มีเพลงฮิตอย่าง ปลายทาง, หวั่นไหว, ความซื่อสัตย์ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน ต่อมาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆ มากมาย ทั้งการออกจากมิวสิก บั๊กส์ มาสู่ค่ายใหญ่อย่างจีนี่ เร็คคอร์ดส ในเครือ จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ พร้อมทั้งเภา มือกีต้าร์ของวงก็ได้ขอลาออกนั่นจึงทำให้เขาได้ ยอด มือกีต้าร์คนใหม่พร้อมกับ ชัช ซึ่งเป็นมือกลองแบ็คอัพให้ก่อนหน้านี้มาเป็นสมาชิกพร้อมทั้งส่งอัลบั้ม Believe ด้ยเพลงฮิตอย่าง ขอบฟ้า, ห้ามใจ, คนที่ถูกรัก, ความเชื่อ มาให้แฟนเพลงได้มันกันต่อเนื่อง
และในช่วงนี้เองที่ Bodyslam ก้าวถึงขีดสุดด้วยชื่อเสียงพร้อมทั้งอัลบั้มทุกชุดที่ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงไม่ว่าจะเป็น Save my Life, คราม และ ดัม-มะ-ชา-ติ พร้อมทั้งคอนเสิร์ตใหญ่อีกหลายครั้งและสมาชิกในวงเพิ่มอีก 1 คนอย่าง โอม ที่เล่นคีย์บอร์ดให้ เรียกว่ากว่าจะมาประสบความสำเร็จอย่างที่เห็นกันในทุกวันนี้พวกเขาต้องผ่านอะไรมาค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว แต่สิ่งที่พวกเขาทำก็แสดงให้เห็นว่าหากมีความตั้งใจก็ไม่มีอะไรที่ไกลเกินฝัน
คาราบาว วงดนตรีอมตะคู่ฟ้าเมืองไทย
ลองนึกถึงวงดนตรีเพื่อชีวิตที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด หรือวงดนตรีที่มีอายุยืนยาวที่สุดในประเทศไทยที่ยังคงมีคอนเสิร์ตให้เห็นอย่างต่อเนื่องก็คงจะหนีวงไหนไปไมได้นอกจาก คาราบาว สุดยอดวงดนตรีแนวเพลงเพื่อชีวิตที่อยู่รับใช้พี่น้องแฟนเพลงชาวไทยมายาวนานกว่า 30 ปี เข้าให้แล้ว และทุกวันนี้แม้ว่าสมาชิกในวงทุกๆ คนจะขึ้นไปสู่ระดับที่เรียกว่าปรมาจารย์แต่กว่าจะมาเป็นวงดนตรีที่มีชื่อเสียงระดับนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ
คาราบาว ก่อกำเนิดขึ้นจากนักเรียนไทย 3 คนที่เรียนในประเทศฟิลิปปินส์ ประกอบด้วย แอ๊ด, เขียว และไข่ ในปี พ.ศ. 2523 โดยชื่อของวงนี้มีความหมายในภาษาตากาล็อกที่เป็นภาษาพื้นเมืองของฟิลิปปินส์ แปลว่า ควาย หรือคนที่ถูกใช้แรงงาน นั่นทำให้พวกเขารู้สึกว่ามันเหมาะกับแนวเพลงเพื่อชีวิต แต่เมื่อออกอัลบั้มแรกจริงๆ กลับมีแค่ แอ๊ด กับ เขียว เท่านั้นในอัลบั้ม ขี้เมา เมื่อปี พ.ศ.2524 ซึ่งนั่นกลายเป็นจุดเริ่มต้นของคาราบาวที่แฟนเพลงรู้จักในทันที ต่อมาพวกเขาได้รู้จักกับเล็ก จากวงเพรสซิเดนท์ ก่อนที่จะชักชวนให้มาทำอัลบั้มด้วยกันและในปี พ.ศ. 2525 ก็ได้ออกอัลบั้มที่ 2 ชื่อว่า แป๊ะขายขวด พร้อมทั้งสมาชิกใหม่อีกคนคือ อ๊อด มือเบส แต่ 2 อัลบั้มนี้หากมองในภาพรวมก็ยังไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่ เพราะชุดที่ทำให้แฟนเพลงติดตามและรู้จักจริงๆ คือชุดที่ 3 ปี พ.ศ. 2526 อัลบั้ม วณิพก ซึ่งเป็นดนตรีพร้อมทั้งเนื้อหาที่แตกต่างไปจากเพลงอื่นๆ ในยุคนั้นทำให้ชื่อของคาราบาวติดหูแฟนเพลงพร้อมทั้งเพลงของพวกเขาก็กลายเป็นที่รู้จักขึ้นมาในทันที พร้อมกันนั้นในช่วงปลายปีเดียวกันพวกเขาก็ได้ออกอัลบั้มชุดที่ 4 ชื่อว่า ท.ทหารอดทน ซึ่งก็ประสบความสำเร็จไมแพ้กัน โดยหากจะบอกว่าสมาชิกในวงยุคคลาสสิคก็คงประกอบไปด้วย แอ๊ด, เล็ก, เทียรี่, เขียว, อ๊อด, อ.ธนิสร์ และ เป้า หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้ออกอัลบั้มมาอีกมากมายซึ่งก็ต้องบอกว่าประสบความสำเร็จแทบจะทุกชุดเลยทีเดียว
หลังจากที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงสมาชิกในวงแต่ละคนต่างก็ได้แยกย้ายไปทำในสิ่งที่ตัวเองถนัดและชื่นชอบ ทว่าก็ยังมีการกลับมารวมตัวเพื่อเล่นคอนเสิร์ตให้แฟนเพลงได้หายคิดถึงกันอยู่เรื่อยๆ ซึงหากนับรวมจำนวนอัลบั้มทั้งหมดของคาราบาวแล้วก็มีเกือบ 30 อัลบั้มเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นวงดนตรีที่โด่งดังมากที่สุดในประวัติศาสตร์วงดนตรีไทยและในปัจจุบันนี้ก็ยังคงพบเห็นเหล่าบรรดาสมาชิกที่เล่นดนตรีให้กับแฟนเพลงได้รับฟังกันอยู่ตลอด